อุตสาหกรรมนราติดเขี้ยวเล็บให้ผู้ประกอบการส่งผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก

นราธิวาส/ภาพ/ข่าว-นูอารีซ๊ะ ยะยือริ

อุตสาหกรรมนราติดเขี้ยวเล็บให้ผู้ประกอบการส่งผลิตภัณฑ์สู่ตลาดโลก

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ที่ห้องประชุมนราทัศน์ 1 โรงแรมอิมพีเรียล อ.เมือง จ.นราธิวาส นายคณบดี สัมพัชนี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ รักษาราชการอุตสาหกรรม จ.นราธิวาส เป็นประธานจัดงานสัมมนาสรุปผลการดำเนินงานโครงการ และนิทรรศการจัดแสดงผลงานของโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการ Smart SME OTOP ก้าวสู่ยุค 4.0 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิชัย รุ่งเรืองอนันต์ หัวหน้าโครงการ โดยมีผู้ประกอบการ จำนวนกว่า 100 คน เข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้ โดยมีความมุ่งมั่น ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยมีฐานความคิดเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ไปสู่สินค้าเชิงนวัตกรรม หรือ เปลี่ยนจากการขับเคลื่อนประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้มีความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงของการแข่งขัน ให้แก่ผู้ประกอบการนำทรัพยากรที่มีในท้องถิ่น มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งออกสู่ท้องตลาด และถึงมือผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการเป็น Smart SME OTOP ก้าวสู่ยุค 4.0 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้ดำเนินการจัดงานสัมมนาสรุปผลการดำเนินงานโครงการ และการจัดนิทรรศการจัดแสดงผลงาน รวมทั้งพิธีมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ผ่านการ

เข้าร่วมอบรมหลักสูตร จำนวนทั้งสิ้น 120 คน พร้อมทั้งได้จัดให้มีพิธีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ MOU 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ผู้ประกอบการ SME ที่ผ่านการคัดเลือก จำนวน 15 วิสาหกิจ หน่วยงานที่ปรึกษา และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมืออย่างจริงจัง ในการยกระดับผู้ประกอบการ SME ก้าวสู่ยุค 4.0 อีกทั้งได้มีการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ ด้านการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ พร้อมทั้งติดตามผลการดำเนินงาน จนสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ

นายคณบดี สัมพัชนี นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ รักษาราชการอุตสาหกรรม จ.นราธิวาส กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ของ จ.นราธิวาส ที่ได้รับความนิยมสนใจจากท้องตลาด เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับไม้ในรูปของวัสดุสิ่งก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่เป็นทรัพยากรจำนวนมากในพื้นที่ รวมทั้งผลไม้ต่างๆ ที่ท้องตลาดแถบกลุ่มประเทศอาเซียนให้ความสนใจและต้องการ ซึ่งเชื่อว่าโครงการดังกล่าวนี้ สามารถทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต